
Octane เป็นหนึ่งในคำที่คุ้นหูของใครก็ตามที่เคยเติมน้ำมันรถยนต์ และมักจะถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจริงอยู่ เพียงแต่ความหมายของ Octane นั้นซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ
Octane ไม่ใช่สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นมาตรวัดความต้านทานการระเบิด (Knocking Resistance) ของเชื้อเพลิง โดยวัดจากค่า Octane Number ซึ่งสามารถอยู่ตั้งแต่ 85-100 สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในรถยนต์ทั่วไป
เมื่อเชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ในเครื่องยนต์ จะเกิดการระเบิดอย่างรวดเร็วและควบคุมได้ ส่งผลให้เกิดแรงดันที่推动ลูกสูบ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานของเครื่องยนต์ หากเชื้อเพลิงมีค่า Octane ต่ำ การระเบิดอาจเกิดขึ้นก่อนเวลาอันควร ทำให้เกิดเสียง “เคาะ” (Knocking) และส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
น้ำมันที่มีค่า Octane สูงจะทนต่อการระเบิดก่อนเวลาอันควรได้ดีกว่า ดังนั้น จึงเหมาะสำหรับเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ทำงานด้วยอัตราส่วนกำลังอัด (Compression Ratio) ที่สูงขึ้น
ทำไม Octane ถึงสำคัญกับเครื่องยนต์สมัยใหม่?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เครื่องยนต์รถยนต์ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีประสิทธิภาพเชื้อเพลิงสูงสุดและลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ใช้คือการเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด
อัตราส่วนกำลังอัด (Compression Ratio) คืออัตราส่วนระหว่างปริมาตรของกระบอกสูบเมื่อลูกสูบอยู่ตำแหน่งบนสุด (Top Dead Center) และปริมาตรเมื่อลูกสูบอยู่ตำแหน่งล่างสุด (Bottom Dead Center) การเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจะช่วยให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์มากขึ้น
แต่การเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจะมีผลเสียต่อเครื่องยนต์ หากใช้เชื้อเพลิงที่มีค่า Octane ต่ำ เพราะอาจทำให้เกิดการระเบิดก่อนเวลาอันควร (Knocking) ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์
ดังนั้น การใช้เชื้อเพลิงที่มีค่า Octane สูงจึงมีความสำคัญสำหรับเครื่องยนต์สมัยใหม่ที่ทำงานด้วยอัตราส่วนกำลังอัดสูงขึ้น
Octane กับประสิทธิภาพการเผาไหม้และการปล่อยมลพิษ
นอกจากจะช่วยป้องกันการเกิด Knocking แล้ว น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า Octane สูงยังมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้
เมื่อเชื้อเพลิงเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ จะส่งผลให้เครื่องยนต์สามารถผลิตพลังงานได้มากขึ้น และลดการปล่อยมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โซ๊ค (Soot) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
Octane: เกิดจากอะไรและผลิตอย่างไร?
Octane Number ไม่ได้มาจากคุณสมบัติของสารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งในน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เป็นผลมาจากการผสมส่วนประกอบต่าง ๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม
ส่วนประกอบหลักในน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่:
-
Hydrocarbons: เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ประกอบด้วยคาร์บอนและไฮโดรเจน ซึ่งเป็นตัวให้พลังงานหลัก
-
Additives: เป็นสารเคมีที่เติมลงไปเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของน้ำมัน เช่น
- Anti-Knock Agents (Octane Boosters): ช่วยเพิ่มค่า Octane Number ของเชื้อเพลิง
- Detergents: ช่วยทำความสะอาดหัวฉีดและระบบเชื้อเพลิง
- Corrosion Inhibitors: ป้องกันการเกิดสนิมในถังน้ำมัน
Octane Number ของเชื้อเพลิงจะถูกกำหนดโดยการเปรียบเทียบกับส่วนผสมมาตรฐานสองชนิด: Iso-octane (มีค่า Octane Number 100) และ n-heptane (มีค่า Octane Number 0)
ตารางแสดงตัวอย่างน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า Octane Number ต่างกัน:
Octane Number | ประเภทเชื้อเพลิง |
---|---|
85 | น้ำมันเบนซินธรรมดา |
91 | น้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว (Regular Unleaded Gasoline) |
95 | น้ำมันเบนซินพรีเมียม (Premium Unleaded Gasoline) |
การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า Octane Number สูงขึ้นนั้นต้องใช้กระบวนการกลั่นที่ซับซ้อนกว่า เช่น Hydrocracking, Alkylation และ Catalytic Reforming
สรุป: Octane ไม่ใช่เพียงตัวเลข!
Octane เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของเครื่องยนต์สมัยใหม่
การเลือกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่า Octane Number ที่เหมาะสมกับชนิดและสภาพของเครื่องยนต์ จะช่วยให้รถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ